RSS

ธาตุหลักทั้ง ๔

ธาตุหลักทั้ง 4 (ไฟคฑา, ดิน-เหรียญ, ลม-ดาบ, น้ำ-ถ้วย)
เป็นหลักการตามปรัชญาโบราณในหลายวัฒนธรรม ใช้ในการอธิบายลักษณะพื้นฐานของสิ่งต่างๆในธรรมชาติ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ผ่านเข้าสู่ยุคกลาง และเข้าสู่ยุคเรอเนสซองซ์ของยุโรป ความรู้นี้เป็นพื้นฐานของความเชื่อและวัฒนธรรมของยุโรปอย่างมาก และในขณะเดียวกัน ทางตะวันออกอย่างอินเดีย และจีนก็มีแนวคิดนี้เช่นกันตั้งแต่สมัยโบราณ และกลายมาเป็นพื้นฐานความรู้ของลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธด้วย

ดิน

    ตำราตะวันตก

จากการตีความตามตำราเวทย์ของยุโรป ดินเป็นธาตุสถานะแข็ง สัญลักษณ์แห่งการก่อตั้ง เป็นธาตุเริ่มต้นในการกำเนิดทุกสิ่ง เสมือนแม่ผู้ให้ทั้งอาหาร ที่อยู่ และสิ่งต่างๆ แก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง เป็นฝ่ายที่รับรอง คอบโอบอุ้มสิ่งต่างๆ สามารถสื่อถึง ความมั่นคง พละกำลัง ความอุดมสมบูรณ์และการเจริญเติบโตทั้งด้านการงานและการเงินด้วย

สัญลักษณ์ของดิน เป็น สามเหลี่ยมคว่ำมีขีดทับกลางสีเขียว ซึ่งเป็นสีของพืชที่ปกคลุมพื้นดิน (หรือสี่เหลี่ยมสีเหลือง แล้วแต่ตำรา) ทิศของธาตุดินคือทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศของฤดูหนาว เวลาค่ำ และวัยอาวุโส ดินมีคุณสมบัติแห้ง (เหมือนธาตุไฟ) และเย็น (เหมือนธาตุน้ำ) ธาตุดินจึงกลายเป็นธาตุขั้วตรงข้ามของธาตุลม พลังแห่งดินถูกส่งผ่านต้นไม้ ก้อนหิน และเหล่าสรรพสัตว์ซึ่งมีความใกล้ชิดกับธาตุดินมาก

ทางด้านโหราศาสตร์ ธาตุดินกลายเป็นธาตุประจำ ราศีพฤษภ ราศีกันย์ และ ราศีมังกร ซึ่งมีลักษณะนิสัยที่มั่นคง ยึดติดกับสิ่งต่างๆ ถูกตีความลักษณะนิสัยเหล่านั้นให้เหมือนกับดิน ดินเป็นธาตุเพศหญิง ดังนั้นการตีความลักษณะนิสัยของ 3 ราศีดังกล่าวจึงเป็นลักษณะนิสัยเพศหญิง เช่นเดียวกับไพ่ทาโร่ต์ ซึ่งใช้ดินเป็นธาตุหลักในการอธิบาย ตีความไพ่ด้วย สัญลักษณ์เหรียญหรือตราวงกลม บนไพ่ทาโร่ต์ เป็นตัวแทนของธาตุดิน

    ตำราตะวันออก

ทางพุทธศาสนา ดิน ถูกใช้สื่อเป็นตัวแทนในการอธิบาย เรื่องขันธ์ 5 ว่ากายของเราในส่วนที่กล้ามเนื้อ กระดูก และสิ่งอื่นๆที่เป็นของแข็ง ซึ่งไม่มีความคงทนถาวร ทุกกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ สำหรับชาวฮินดูก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องดินเช่นกัน เทพประจำธาตุดินคือ ภูมิเทวี หรือพระแม่ธรณี

ตามตำราจีน ธาตุดินเป็น 1 ใน 5 ธาตุหลักของจีน มีสีประจำเป็นสีเหลือง กลายเป็นธาตุกลางของธาตุอื่นๆ ประจำจุดศูนย์กลางแห่งสวรรค์ซึ่งเป็นที่ของมังกรทองฮวงหลงตามตำรา อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ซึ่งเป็นธาตุที่สนับสนุนธาตุโลหะ เอาชนะธาตุน้ำได้ กำเนิดจากธาตุไฟ และพ่ายแพ้ต่อธาตุไม้ ซึ่งทางโหราศาสตร์ของจีน ก็นำเรื่องธาตุมาใช้เช่นเดียวกับทางตะวันตก ดินเป็นตัวแทนของดาวเสาร์ ดังนั้นวันเสาร์ในภาษาญี่ปุ่นและภาษาเกาหลี จึงเป็นวันของดิน หรือ โดะโยบิ 土曜日:どようび และ โทโยอิล 토요일 (โดยที่ โดะ กับ โท มีความหมายว่าดิน) ในตำราทางการแพทย์ของจีน ธาตุดินเกี่ยวข้องรสหวาน การดมกลิ่น นิ้วชี้ โดยมีอวัยวะภายในหยิน คือ ม้าม ตับอ่อน และหยางคือ ท้อง ตามตำราของญี่ปุ่นธาตุดินก็มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับตำราตะวันตก และ ความรู้เกี่ยวกับขันธ์ 5 ด้วย

น้ำ

    ตำราตะวันตก

น้ำเป็นธาตุมีสถานะเหลว และเป็นธาตุที่สำคัญอีกธาตุหนึ่งที่ไม่แพ้กับธาตุดิน สิ่งมีชีวิตจะขาดน้ำไม่ได้ น้ำเป็นสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับทุกสิ่ง ธาตุน้ำกลายเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอารมณ์รัก น้ำยังกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการรักษา การชำระล้างสิ่งชั่วร้ายและสิ่งสกปรกด้วย

สัญลักษณ์ของน้ำ เป็น สามเหลี่ยมคว่ำสีฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งของน้ำ น้ำเป็นธาตุประจำทิศตะวันตก ทิศแห่งการเพาะปลูกและการผลิต จึงเชื่อมโยงกับฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรชาวยุโรปเก็บเกี่ยวผลิตผลต่างๆ นอกจากนั้นทิศนี้ยังเป็นทิศแห่งเวลาบ่าย และช่วงอายุวัยเจริญพันธุ์ (โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์) ด้วย น้ำมีคุณสมบัติชื้น (เหมือนธาตุลม) และเย็น (เหมือนธาตุดิน) ธาตุน้ำจึงตรงข้ามกับธาตุไฟ พลังแห่งน้ำถูกส่งผ่านสายน้ำและเปลือกหอย

ทางด้านโหราศาสตร์ ราศีกรกฎ ราศีพิจิก และ ราศีมีน เป็นราศีธาตุน้ำ ซึ่งเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงง่าย คล้ายลักษณะการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของสายน้ำ นอกจากนั้นน้ำเป็นธาตุเพศหญิง เช่นเดียวกับธาตุดินด้วย 3 ราศีดังกล่าวจึงมีลักษณะนิสัยคล้ายเพศหญิง สำหรับไพ่ทาโร่ต์ ถ้วยสีทองถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุน้ำอีกด้วย

    ตำราตะวันออก

น้ำเป็น 1 ในธาตุที่ใช้ในเรื่องขันธ์ 5 ของธาตุพุทธศาสนาเช่นกัน น้ำสื่อถึงของเหลวทุกชนิดในร่างกาย ตั้งแต่เลือดไปจนถึงน้ำย่อย ตามความเชื่อของชาวฮินดู น้ำเป็น 1 ในธาตุหลักเช่นเดียวกัน

ตามตำราจีน ธาตุน้ำเป็น 1 ใน 5 ธาตุหลักของจีน สีประจำธาตุเป็นสีดำ และเกี่ยวข้องกับทิศเหนือซึ่งเป็นทิศของ เต่าเฉวียนอู่ 1 อสูรในอสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 น้ำเป็นธาตุสนับสนุนธาตุไม้ เอาชนะธาตุไฟ กำเนิดจากธาตุโลหะ และพ่ายแพ้ต่อธาตุดิน และเช่นเดียวกันธาตุน้ำถูกใช้เป็นลักษณะนิสัยบ่งบอกตามโหราศาสตร์ขงอชาวจีนด้วย น้ำเป็นสัญลักษณ์ของดาวพุธ ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นและเกาหลี วันพุธแปลว่าวันแห่งน้ำ หรือ 水曜日:すいようび ซุยโยบิ และ 수요일 ซูโยอิล (ซึ่งคำว่า ซุย และ ซู แปลว่าน้ำ) น้ำเกี่ยวข้องกับรสเค็ม การรับรสชาติ นิ้วก้อย อวัยวะภายในหยินเป็นไต และแบบหยางเป็นกระเพาะปัสสาวะ ตามตำราแพทย์ของจีน ตามตำราของญี่ปุ่น น้ำ เป็นธาตุหลักสำคัญด้วยซึ่งมีความคล้ายกับตำราทางตะวันตก แต่เพิ่มลักษณะพิเศษตรงที่ ธาตุน้ำของญี่ปุ่นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่เหล็กด้วย

ลม

    ตำราตะวันตก

ลมเป็นธาตุที่สถานะเป็นแก๊ส ลมหรือากาศ เป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์และสัตว์หลายๆชนิด อากาศเป็นสิ่งที่สำคัญถ้าขาดอากาศก็ถือว่าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ลมเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว ความรู้ การสื่อสาร ดังนั้น เสียงจึงเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่ถูกส่งผ่านธาตุลม รวมถึงกลิ่นอีกด้วย

ลมมีสัญลักษณ์เป็นรูป สามเหลี่ยมหงายมีเส้นขีดทับตรงกลาง สีเหลือง เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นลมได้ สีที่ใช้คือสีเหลือง ซึ่งเป็นสีท้องฟ้าและแสงแดด โดยที่ทิศประจำธาตุลมคือ ทิศตะวันออก ทิศแห่งการเริ่มต้น เชื่อมโยงกับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสรรพสิ่งต่างๆฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ต้นไม้เริ่มผลิดอกและใบ สัตว์ทั้งหลายตื่นจากการหลับใหลในช่วงจำศีลในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นธาตุลมจึงเป็นตัวแทนเวลาเช้า และช่วงอายุวัยเด็กด้วย ลมมีคุณสมบัติชื้น (เหมือนธาตุน้ำ) และร้อน (เหมือนธาตุไฟ) ลมจึงตรงข้ามกับธาตุดินโดยสิ้นเชิง พลังของลมถูกส่งผ่านเสียง กลิ่น หรือแม้แต่ขนนกสัตว์ตัวแทนแห่งสายลม

ราศีเมถุน ราศีตุลย์ และ ราศีกุมภ์ เป็นราศีธาตุลมตามตำราโหราศาสตร์ ตามลักษณะนิสัยของราศีดังกล่าว เป็นคนที่มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นคนที่ฉลาดด้วย นอกจากนั้นลมเป็นธาตุเพศชาย ซึ่งสื่อถึงลักษณะนิสัยของ 3 ราศีข้างต้นด้วย สำหรับไพ่ทาโร่ต์ ดาบกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำธาตุลม

    ตำราตะวันออก

ทางพุทธศาสนา ลมเป็น 1 ใน 4 ของร่างกายตามนิยามเรื่อง กาย ของขันธ์ 5 คือลมของร่างกายนั้น คือลมหายใจเข้าออกนั่นเอง รวมทั้งทางด้านตำราของฮินดูลมก็เป็นเทพสำคัญอีกองค์หนึ่ง ซึ่งรู้จักกันในนามของ วายุ หรือ พระพาย ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดทหารเอกองค์หนึ่งของพระราม คือ หนุมาน นั่นเอง

ถึงแม้ตามตำราจีนจะไม่ได้ถือว่า ลม เป็น 1 ใน 5 ธาตุหลักของจีนก็ตาม แต่ตามเทพนิยายของจีนก็มีการพูดถึงเรื่องลมอยู่บ้าง โดยให้มังกรเป็นตัวแทนให้ธาตุลมด้วย เป็นราชาแห่งดิน ฟ้า อากาศ คอยควบคุมสภาพอากาศบนโลก แต่ตามตำราของญี่ปุ่นแล้ว นอกเหนือจาก ดิน และน้ำ แล้ว ลมกลับเป็น 1 ใน 5 ธาตุหลักซึ่งนอกจากลมจะเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ ที่ถูกพูดมาตามตำราตะวันตก รวมถึงมีแนวคิดตรงกับเรื่องขันธ์ 5 ของพุทธศาสนาแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังถือว่าลมมีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศด้วยดังนั้น ลมจึงมีความเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าเช่นกัน

ไฟ

    ตำราตะวันตก

ไฟ เป็นธาตุเดียวที่ไม่ใช่สสาร แต่มีสถานะเป็นพลังงาน เป็นทั้งผู้สร้างสรรค์และเป็นทั้งผู้ทำลาย เนื่องจากไฟสามารถสร้างแสงสว่างในยามค่ำคืน เป็นที่พึ่งพิงยามหนาว แต่ก็สามารถเผาผลาญทำลายได้เช่นกัน ไฟเป็นตัวแทนแห่งแรงขับเคลื่อน พลังงาน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นเสมือนสิ่งที่กระตุ้นให้ทุกสิ่งมีชีวิตชีวา พลังแห่งธาตุไฟส่งผ่านแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ และความร้อน ความอบอุ่นๆอื่น หรือแม้แต่ควันที่เกิดจากการเผาไหม้ด้วย

สัญลักษณ์ของไฟ เป็น สามเหลี่ยมหงายสีแดง ซึ่งเป็นสีเพลิงนั่นเอง ทิศของธาตุไฟคือทิศใต้ ซึ่งตามตำรานั้นทิศใต้เป็นทิศของความร้อน ซึ่งเกี่ยวโยงกับฤดูร้อนและเวลาเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนมากที่สุด รวมถึงสื่อถึงช่วงอายุวัยรุ่นซึ่งมีพลังงานและแรงขับเคลื่อนมากพอที่จะสร้างสรรค์หรือแม้แต่ทำลายสิ่งต่างๆได้ ธาตุไฟมีคุณสมบัติแห้ง (เหมือนธาตุดิน) และร้อน (เหมือนธาตุลม) ดังนั้นธาตุไฟจึงเป็นขั้วตรงข้ามกับธาตุน้ำ

ธาตุไฟเป็นธาตุประจำ ราศีเมษ ราศีสิงห์ และ ราศีธนู ซึ่งมีลักษณะนิสัยเป็นผู้ริเริ่ม สร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ อารมณ์เร่าร้อน รุนแรง นอกจากนั้น 3 ราศีดังกล่าวยังมีลักษณะนิสัยเหมือนเพศชาย เพราะเนื่องจากธาตุไฟเป็นธาตุเพศชายด้วย สำหรับไพ่ทาโร่ต์ สัญลักษณ์คฑา(ไม้)เป็นตัวแทนของธาตุไฟด้วย

    ตำราตะวันออก

ไฟ เป็น 1 ในธาตุของร่างกายตามความคิดเรื่องขันธ์ 5 ของพุทธศาสนา โดยสื่อถึงพลังงานความร้อนที่มีในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง ตามตำราฮินดูไฟก็เป็น 1 ในธาตุหลักเช่นกัน

ธาตุไฟเป็น 1 ใน 5 ธาตุหลักตามตำราจีน โดยที่มีสีประจำเป็นสีแดง ในมี จูเชว่ 1 ในอสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 เป็นอสูรประจำธาตุนี้ด้วย ธาตุไฟสนับสนุนธาตุดิน เอาชนะธาตุโลหะ กำเนิดจากธาตุไม้ และพ่ายแพ้ต่อธาตุน้ำ ไฟถูกใช้ในด้านโหราศาสตร์ตามตำราจีนเช่นกัน ไฟเป็นธาตุประจำดาวอังคาร วันอังคารของญี่ปุ่นและเกาหลีจึงมีความหมายว่า วันของไฟ หรือ คะโยบิ 火曜日:かようび และ ฮวะโยอิล 화요일 (คะ และ ฮวะ มีความหมายว่า ไฟ) ในตำราทางการแพทย์ของจีน ธาตุไฟเกี่ยวข้องรสขม การรับเสียง นิ้วกลาง โดยมีอวัยวะภายในหยิน คือ หัวใจและหยางคือ ลำไส้เล็ก ตามตำราของญี่ปุ่นธาตุไฟมีคุณสมบัติเหมือนกับตำราตะวันตก และ ความรู้เกี่ยวกับขันธ์ 5 เช่นกัน


ราศีในแต่ละราศีนั้นจะเป็นตัวแทนของแต่ละฤดูกาล และจะมีคุณภาพของการปลดปล่อยพลังงานในธรรมชาติแตกต่างกันไป แม้ว่าราศีเหล่านั้นจะอยู่ในฤดูกาลเดียวกันก็ตามคุณะ อันเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่แตกต่างกันในฤดูกาล จึงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1.จรราศี ได้แก่ ราศี เมษ กรกฎ ตุลย์ มังกร ซึ่งแสดงออกจากพลังงานที่มากเกินรุนแรง มีความดิ้นรนทะเยอทะยาน เอาดีด้วย การแสดงออก การเคลื่อนไหวแบบ แรงดัน การระเบิด ทุ่มสุดตัว

2.สถิรราศี ได้แก่ ราศี พฤษภ สิงห์ พิจิก กุมภ์  ซึ่งแสดงออกจากพลังงานที่สมดุลและเต็มพอดี แน่วแน่ พินิจพิจารณา และใช้เวลา เอาดีด้วยการกักตุน คงที่ สม่ำเสมอ

3. อุภยราศี ได้แก่ ราศี มิถุน กันย์ ธนู และมีน ซึ่งแสดงออกจากพลังงานที่มีความอ่อนตัว โอนอ่อน โลเล แบ่งรับแบ่งสู้ ดูทีท่า ใช้เวลาแก้ปัญหา

ธาตุ (Element )  ในทางการพยากรณ์ไพ่ยิปซี นั้น ระบบธาตุที่นิยมใช้มาก คือ ธาตุสี่อันประกอบไปด้วย

1. ธาตุไฟ = คฑา คือ การคุกคาม สร้างสรรค์ ผู้นำ ว่องไว ฉลาด  ราศี เมษ สิงห์ ธนู

2. ธาตุดิน = เหรียญ คือ การมั่นคง หนักแน่น จริงจัง สงบเสงี่ยม เห็นการณ์ไกล  ราศี พฤษภ กันย์ มังกร

3. ธาตุลม = ดาบ คือ การประสาน คล่องตัว ชอบเรียนรู้ รวดเร็ว ปรับตนเข้ากับสถานการณ์ได้ดี ราศี มิถุน ตุลย์ กุมภ์

4. ธาตุน้ำ = ถ้วย คือ ปรับตัว ลึกซึ้ง ช่างคิดฝัน ความรู้สึกไว ราศี กรกฎ พิจิก และมีน

เริ่มจาก ธาตุ ในแต่ละ จักรราศี ต้องอาศัยหลักธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันสัญลักษณ์ ของธาตุ 3 ประเภท คือ Cardinal Signs - Fixed Sighs - Mutable Signs

1. Cardinal Signs ไฟ น้ำ ลม ดิน  ( อาการเคลื่อนไหว ) หมายถึง แม่ธาตุทั้งสี่แรก   จรราศี  1-4-7-10 เมษ กรกฎ ตุลย์ มกร

ไฟ หมายถึง ใจป้ำ กล้าได้กล้าเสีย กระตือรือร้นจนออกนอกหน้า จะทำอะไรใจจอใจจ่อ มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่เลิก

ดิน หมายถึง สนใจ กระตือรือร้น แต่ก็ยังใช้ความคิดบ้าง

ลม หมายถึง อารมณ์ฉุนเฉียว เอาแต่ใจเกินไป

น้ำ หมายถึง ความรู้สึกรุนแรง ท่าทางวางอำนาจเต็มที่

2. Fixed Signs ไฟ น้ำ ลม ดิน (บอกเวลา กำหนดเวลา ) แม่ธาตุทั้งสี่ รอง             

   สถิรราศี 2-5-8-11 พฤษภ สิงห์ พิจิก กุมภ์

ไฟ หมายถึง เด็ดเดี่ยว เอาจริงเอาจัง แสดงพละกำลัง

ดิน หมายถึง ตั้งใจจะทำต้องให้ได้ ไม่รอรีอีก เว้นไว้แต่จะพบว่าสิ่งนั้นจะทำไม่ได้จริง และมีแต่จะต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น ติดรอบคอบ

ลม หมายถึง ไม่เปลี่ยนความคิด ไม่เปลี่ยนใจ ไม่เปลี่ยนความประสงค์

น้ำ หมายถึง อารมณ์ยึดมั่น แน่วแน่ เที่ยงตรง

3. Mutable Sings (ให้ช่วง ให้ระยะ ให้แวดวง)  แม่ธาตุทั้ง 4 ช่วงสุดท้าย            

อุภยราศี 3-6-9-12  มิถุน กันย์ ธนู มีน

ไฟ หมายถึง กระตือรือร้นเอาจริงเอาจังแต่แรก แต่แล้วก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเสียได้

ดิน หมายถึง มีความคิดอ่านดี แนะนำให้ได้ประโยชน์ในการงาน และก็ใช้การได้ด้วย

ลม หมายถึง มีจิตใจ สามารถทำงานจนลุล่วงไปด้วยความสามารถได้ ทั้งการให้คำแนะนำและกระทำจริง

น้ำ หมายถึง มีอารมณ์จะดำเนินงาน มีอารมณ์คิด อารมณ์ปฏิบัติ จำแนกแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิด

ดังนั้นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะกระจายตามราศีต่างๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ



ธาตุในราศีเมษ                คือ ธาตุไฟ      ไฟร้อนแรงที่สุด เป็นไฟอันประกอบด้วยลม เช่น ไฟถลุงเหล็ก ทำให้เหล็กอ่อนหรือละลายเป็นน้ำไปเลยก็ได้
ธาตุในราศีพฤษภ             คือ ธาตุดิน      คือดินในที่สูง คือดินแข็งไม่มีน้ำเจือปน
ธาตุในราศีมิถุน                คือ ธาตุลม      ลมที่ร้ายอันจะนำมาซึ่งสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนา เช่น ลมปาก ลมนำโรคร้ายมา นำกลิ่นเหม็นมา
ธาตุในราศีกรกฎ               คือ ธาตุน้ำ       คือน้ำที่เขาจัดสรรไว้ เช่นน้ำในขวดในโอ่งในถัง
ธาตุในราศีสิงห์                คือ ธาตุไฟ      ไฟอันเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันใด เช่น ฟ้าผ่า หรือไฟฟ้าช็อต หรือจะเรียกว่าไฟปรมาณูก็ได้
ธาตุในราศีกันย์                คือ ธาตุดิน      ดินที่อยู่ริมน้ำชนิดดินเปียกไม่แข็ง ไม่เหลว
ธาตุในราศีตุลย์                คือ ธาตุลม      คือลมธรรมดา ซึ่งพัดไปมาตามปกตินี้เอง
ธาตุในราศีพิจิก                คือ ธาตุน้ำ       คือน้ำที่ขังอยู่โดยธรรมชาติ เช่น น้ำในสระในหนองในบึง
ธาตุในราศีธนู                  คือ ธาตุไฟ      ไฟประกอบกับน้ำคือประสมกับของเหลวนั่นเอง เช่น ไฟตะเกียง ไฟอันทำให้น้ำเดือดร้อนแรง
ธาตุในราศีมังกร               คือ ธาตุดิน      คือดินที่อยู่ใต้น้ำ ไม่แข็ง ไม่เปียก เหลวไปเลย
ธาตุในราศีกุมภ์                คือ ธาตุลม      คือลมที่ร้ายแรง เช่น ลมพายุ อันเป็นความรุนแรง เกินกว่าธรรมชาติมาก เช่น ปะทะเรือๆ ก็ล่ม ปะทะบ้านๆ ก็พัง ปะทะต้นไม้ๆ ก็พังล้ม
ธาตุในราศีมีน                  คือ ธาตุน้ำ       คือน้ำชนิดไหลขึ้นไหลลง ไม่ได้อยู่ตามปกติ ได้แก่น้ำในแม่น้ำลำคลอง




ปี และปี ธาตุ
จำแนกธาตุตามเดือน
ชวด
(หนู)
กุน
(หมู)
น้ำ
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุน้ำในตระพัง
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุน้ำคนอาศัย
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุน้ำในบ่อ
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุน้ำฝน
ลู
(วัว)

(สุนัข)
ดิน
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุดินสุก
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุดินดี
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุดินจอมปลวก
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุดินทำพระ
ขาล
(เสือ)
เถาะ
(กระต่าย)
ไม้
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุไม้ผุ
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุไม้แก่น
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุไม้หอม
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุไม้บนเขา
มะโรง
(งูใหญ่)
มะแม
(แพะ)
ทอง
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุทองฟ้า
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุทองมีราคี
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุทองจ่าย
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุทองนพคุณ
มะเส็ง
(งูเล็ก)
มะเมีย
(ม้า)
ไฟ
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุไฟไหม้ป่า
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุไฟคนสุม
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุไฟในหิน
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุไฟในแก้ว
วอก
(ลิง)
ระกา
(ไก่)
เหล็ก
    เดือน ๕,๖, ๗ ธาตุเหล็กกล้า
    เดือน ๘, ๙, ๑๐ ธาตุเหล็กอ่อน
    เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ ธาตุเหล็กดี
    เดือน ๒, ๓, ๔ ธาตุเหล็กหลุม

ถ้าผู้ชาย
ธาตุ
อยู่กับ ผู้หญิง
ธาตุ
คำทำนาย
น้ำ น้ำ  อยู่ด้วยกันจะมีความสุขทั้งกายและใจ
น้ำ ดิน  อยู่ด้วยกันจะรักกันมาก เอื้ออาทรเข้าใจกันเป็นอย่างดี
น้ำ ไม้  เป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
น้ำ ดิน  เป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก จะมีบุตรด้วยกันและจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
ดิน น้ำ  อยู่ด้วยกันปี ประมาณหนึ่งจะพอตั้งตัวได้ และจะมีผู้อุปถัมภ์คอยช่วยเหลือ
ดิน ไม้  อยู่ด้วยกันดี ไม่ค่อยมีเรื่องให้ทะเลาะกัน ปรองดองกันดี
ดิน ไฟ  ตอนแรกจะลำบากหน่อย แต่จะได้ดีเมื่อปลายมือ และจะมีทรัพย์มาก
ดิน เหล็ก  อยู่ด้วยกันจะมีบุตรมากกว่า 2 คน จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร
ไม้ ไม้  อยู่ด้วยกันลาภผลพอประมาณ
ไม้ น้ำ  อยู่ด้วยกันดีนัก เป็นสุข จะมีทรัพย์มาก แต่ว่าเลี้ยงลูกยากหน่อย
ไม้ ดิน  รักกันดี แต่มีเหตุให้ต้องห่างกัน อีกคนหนึ่งอาจไปอยู่ต่างถิ่น
ไม้ ไฟ  อยู่ด้วยกันแล้วดีนัก และจะมีบุตรชายก่อน แต่มักจะเป็นกำพร้า
ไม้ เหล็ก  จะอยู่ด้วยกัไม่นานนัก เพราะจะมีเหตุให้ต้องผิดใจกัน ไม่เข้าใจกัน
ไฟ ไฟ  เป็นคู่ที่อาภัพมาก ไม่ค่อยดีนัก มีแต่เรื่องไม่เข้าใจกันอยู่ตลอด
ไฟ น้ำ  ตอนแรกไม่ค่อยดีนัก แต่นานไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ไฟ ดิน  อยู่ด้วยกันดี แต่ต้องแยกจากกันก่อนแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่จึงจะดี
ไฟ ไม้  มีปากเสียง หาเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนใจร้อน
ไฟ เหล็ก  อยู่ด้วยกันไปจะลำบากเรื่องการเงิน เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ จะมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ
เหล็ก เหล็ก  ดีนักจะอยู่เย็นเป็นสุข
เหล็ก น้ำ  เป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
เหล็ก ดิน  อยู่ด้วยกันดีนักจะมีทรัพย์สมบัติ ช่วยเหลือกันและสามารถตั้งตัวได้
เหล็ก ไม้  อยู่ด้วยกันดี จะมีหน้าที่การงานที่ดี หากทำราชการก็จะได้ยศตำแหน่งสูง มีเกียรติในสังคม
เหล็ก ไฟ  ม่ค่อยดีนัก มีแต่หาเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ถึงกับลงไม้ลงมือกันเป็นประจำ เพราะใจร้อน
มะแม มะโรง  คนที่เป็นธาตุทองจะอยู่กับธาตุไหนก็ได้ ดีทั้งสิ้นครับ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ภาษารูน อักขระแห่งเวทย์มนตร์โบราณ

บ่อยครั้งที่เวทมนตร์คาถาต่างๆมักจะถูกแสดงออกในรูปของ “อักขระ” ไม่ ว่าจะเป็นการสักยันต์ หรือการปลุกเสกต่างๆก็มักจะมี “อักขระ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากอักขระขอมที่มักจะใช้ในการลงยันต์แล้วนั้น ก็ยังมีอักขระอีกไม่น้อยที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำนายและเวทมนตร์คาถา โดยตรง

โดยในวันนี้เราจะนำท่านไปรู้จักกับหนึ่งในอักขระที่ว่ามานี้ก็คือ อักษร “รูน” (Rune) ซึ่งเป็นอักขระแห่งดินแดนยุโรปโบราณครับ

ใน ปัจจุบันมีอาจารย์ และนักพยากรณ์หลายท่านที่ใช้อักษรรูนเป็นตัวช่วยในการทำนายและคาดเดาถึง เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า นอกจากนั้นอักษรรูนยังสามารถบอกถึงการวิเคราะห์และหาผลลัพธ์ในสิ่งที่จะเกิด ขึ้นได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนายหรือเสี่ยงทายด้วยอักษรรูนจะมีความแม่นยำมากน้อย เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในอักษรรูนของผู้ทำนายเป็นสำคัญครับ

ตำนาน ของ อักษรรูนเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าว่ากันตามตำนานเทพนิยายแถบสแกนดิเนเวียน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอักษรรูนแล้ว ต้องกล่าวว่าผู้ที่ประดิษฐ์อักขระชนิดนี้ ขึ้นมาให้มนุษย์ได้ใช้ก็คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม บทกวีความ รู้และความฉลาดผู้มีนามว่า โอดิน (Odin) ตำนานเล่าว่าเทพโอดินได้ห้อยหัวเป็นค้างคาวอยู่บนต้นไม้ ที่เรียกว่า “อิกดราซิล” (Yggdrasil) เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน (บ้างก็ว่าท่านห้อยหัวให้โลหิตไหลลงศีรษะเพื่อเป็นการทรมานร่างกาย) จนท่านได้เกิดญาณพิเศษ รับรู้เรื่องราวต่างๆมากมาย ความรู้มหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ตัวท่าน ภายในเวลา 9 คืนนั้นท่านได้ล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ท่านเองได้ตระหนักถึงก็คือ ท่านคงจะหมดลมหายใจในไม่ช้า แล้วความรู้มหาศาลที่ท่านได้รับรู้มาเล่า มันก็ต้องหายไปหมดด้วยน่ะสิ

หินสลักอักษรรูน.
ไหนๆ ก็ต้องทนทรมานเจ็บปวดร่างกายมาตั้ง 9 วัน 9 คืนแล้ว จะให้ความรู้และสรรพวิชาที่ได้รับมาต้องสูญเปล่าก็ใช่ที่ ก็เลยคิดจะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นให้มนุษย์โลกได้เรียนรู้กันด้วย เทพโอดินจึงได้ทำการประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายความรู้ที่ท่านได้ รับมาใน 9 คืนอันแสนทรมานให้กับมนุษย์โลก ดังนั้น ถ้าอ้างอิงตาม ตำนานนี้ อักษรรูนจึงเป็นอักขระที่ได้มาจาก “ความ ตาย” ของมหา เทพโอดิน อักขระชนิดนี้จึงมีความพิเศษในด้านของเวทมนตร์คาถาและสรรพความรู้โบราณ เป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์แห่งสแกนดิเนเวียน ที่ใช้สำหรับปลุก เสกคาถาและร่ายคำสาปในไสยเวทต่างๆ โดยเฉพาะการร่ายคาถาลงบนอาวุธเพื่อให้สังหารศัตรูได้อย่างแม่นยำ

จะ เห็นได้ว่าเวทมนตร์ที่แฝงอยู่ในอักษรรูนนั้น ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังเป็นอย่างมาก มากถึงขั้นที่โรงเรียนฮอกวอตส์ในวรรณกรรม เยาวชนอย่างพ่อมดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องเปิดสอนวิชา การศึกษาอักษรรูนโบราณกันเลยที เดียวล่ะครับ!! (เจ.เค. โรว์ลิ่ง เธอใส่ ใจในทุกราย ละเอียดจริงๆครับ)

หินสลักเนื้อหาอักษรรูนที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา.
แต่ ถึงอย่างนั้น ที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมดก็เป็นอักษรรูนในมุมมองของ “นักพยากรณ์” ที่อ้างความศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานของมหาเทพโอดินเท่านั้น แล้วถ้าในมุมมองของนักวิชาการด้านอักขระโบราณบ้างล่ะ เขามองอักษรรูนกันอย่างไร

อักษรรูน คาดว่าพัฒนามาจากอักษรโรมัน ซึ่งเป็นต้นแบบของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดสามารถฟันธงประเด็นนี้ลงไปอย่างชัดเจนได้ ที่พอจะทราบก็คือหลักฐานทางโบราณคดีที่จารึกด้วยอักษรรูนนั้น ปรากฏในหลายชนเผ่าแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นชาวกอธ (Goth) เผ่าเจอร์มานิค (Germanic) ชาวเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ อังกฤษ และเยอรมัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอักษรรูนนั้นเฟื่องฟูในยุโรปตอนเหนือตั้งแต่ยุคก่อนการ เข้าไปของศาสนาคริสต์เสียด้วยซ้ำครับ ทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า คำว่า “รูน” ซึ่งเป็นชื่อเรียกอักษรแห่งเวทมนตร์โบราณนั้น น่าจะมาจากคำว่า “raunen” ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า “กระซิบ” (Whisper) ซึ่งก็บอกเป็นนัยถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอักษรรูนได้ไม่น้อยเลยครับ หินสลักอักษรรูนและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์.
นอก จาก นั้น นักวิชาการยังค้นพบแผ่นหิน แผ่นไม้ และแผ่นโลหะที่จารึกด้วยอักษรรูนกว่า 5,000 ชิ้น กระจายตัวทั่วยุโรป นั่นย่อมหมายความว่า ชนเผ่าแห่งยุโรปตอนเหนือนั้น ก็เป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้และมีตัวอักษรใช้เช่นกันมาเนิ่นนานแล้ว

แน่ นอน ว่า ในตำนาน เราอาจจะบอกได้ว่ามหาเทพโอดินเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาจากความตายของ ตัวเอง แต่ถ้ามองในมุมของประวัติศาสตร์ล่ะ ใครเป็นผู้คิดค้นอักษรรูนขึ้นมา คำตอบก็คงจะไม่แตกต่างจากเรื่องลึกลับทั่วโลกนั่นแหละครับว่ายังไม่มีนัก วิชาการท่านใดสามารถตอบได้ บ้างก็บอกว่าอาจจะเป็นพวกกอธ หรือไม่ก็เป็นชนเผ่าบริเวณหุบเขาในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการหลายท่านคิดเห็นตรงกันก็คือ อักษรโรมันต้องส่งอิทธิพลบางอย่างให้กับอักษรรูนด้วยเป็นแน่ อักษรรูนบางตัวคล้ายกับอักษรโรมันและภาษาอังกฤษ เช่น r i b f h s และ t.
อักษร รูน ประกอบไปด้วยอักขระ 24 ตัว เป็นพยัญชนะ 18 ตัว และสระ 6 ตัว บางครั้งนักวิชาการก็เรียกขานอักษรรูนว่า อักขระ “ฟูทาร์ค” (Futhark) ซึ่งมาจากอักษร 6 ตัวแรกของอักษรรูน (f u th ark) ก็คล้ายๆกับที่เราเรียกระบบตัวอักษรว่า “Alphabet” ก็ด้วยว่ามาจากอักษร 2 ตัวแรกในภาษากรีก ซึ่งก็คือ Alpha และ Betaนั่นเอง

ทิศทางการอ่าน อักษรรูนสามารถอ่านได้ทั้งจากซ้ายไปขวา และขวาไปซ้าย แต่ส่วนมากจะพบว่าเขียนจากซ้ายไปขวาเสียมากกว่าครับ และที่นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นที่ลงรอยกันว่า อักษรรูนได้รับอิทธิพลจากอักษรโรมัน ก็เพราะว่ามีอักขระบางตัวที่คล้ายคลึงกับอักษรโรมันด้วย เช่น ตัว ri b f h s และ t ซึ่งอักขระบางตัวก็อยู่ในลักษณะกลับหัว เช่น u และ l แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอักษรอีกหลายตัวครับที่ไม่คล้ายคลึงกับอักษรโรมัน เช่น g w j และ p จึงทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่า อักษร รูนนี้มีความสัมพันธ์กับอักษรโรมันในด้านใดบ้าง  



อักษรรูนแพร่หลายทั่วตอนเหนือของยุโรป
ดัง นั้น ในทุกวันนี้ ถ้ามองอักษรรูนจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระโบราณแล้วก็ต้องบอกว่า รูนเป็นหนึ่งในอักขระที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าอักษรรูนแต่ละตัวนั้นแทนเสียงอะไร และอ่านอย่างไร แต่เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ที่ภาษาโบราณแห่งสแกนดิเน เวียนนี้ กำลังบอกพวกเราได้เลย นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า อักษรรูนนั้นก็ไม่ต่างจากอักขระอีทรัสคัน ที่สามารถอ่านออกเสียงได้ เพราะอักขระอีทรัสคันนั้น ใช้อักษรกรีก แต่เราไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ภาษาต้องการสื่อกับพวกเราได้มากเท่าใดนัก อักษรรูนก็เช่นกัน ความหมายที่ถอดความออกมาได้โดยนักวิชา การผู้เชี่ยว ชาญนั้นก็ยังคลุมเครืออยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยเรายังขาดความรู้ทางด้านภาษาเจอร์มานิคยุคแรกอยู่มากพอสมควรเลยที เดียว

ดังนั้น การตี ความและเข้าใจความหมายของอักษรรูนในปัจจุบันนั้น ก็เป็นเพียงแค่การศึกษา ตีความและคาดเดาความหมายจากหลัก ฐานเพียงน้อยนิดที่ยังคลุมเครืออยู่เท่านั้น ดังที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนได้กล่าวเอาไว้ว่า “จารึกอักษรรูนทุกชิ้นที่ค้นพบสามารถสื่อความหมายได้มากเกินกว่าที่นักวิชา การได้เคยตีความเอาไว้”  

ตามตำนานมหาเทพโอดินเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรรูน.
คิด แล้วก็น่าแปลกนะครับที่อักขระแห่งเวทมนตร์ โบราณซึ่งใช้ในการทำนายและพยากรณ์กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน กลับเป็นเพียงตัวเขียนที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ในมุมมองของนัก วิชาการด้านภาษาโบราณ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบได้ และการพยากรณ์ด้วยอักขระที่แลกมาด้วยชีวิตของมหาเทพโอดินอย่างอักษรรูนก็อาจ จะเป็นอีกหนึ่งความลึกลับแห่งโลกโบราณที่ยากที่จะเข้าใจด้วยหลักของเหตุและ ผลก็เป็นได้นะครับ.

วิธีการสร้างรูน
อุปกรณ์ที่นิยมนำมาสร้างรูนเพื่อการทำนายพยากรณ์นั้น ได้แก่ ก้อนหินแบนๆทรงกลม ไม้ เศษไม้ กิ่งไม้ กระดาษที่ทำเป็นไพ่ หรือจะเป็นลูกแก้ว ลูกปัด เหรียญ
ทำด้วยก้อนหิน หินที่เหมาะจะทำรูนจะอยู่ตามชายหาดและริมลำธาร ซึ่งมีรูปร่างกลมมน หินทุกก้อนมีวิญญาณอยู่ภายในซึ่งจำเป็นต้องได้รับความเคารพ ดังนั้นหากจะให้มันทำงานให้คุณ คุณต้องจัดเครื่องบูชาก่อนที่จะนำของจากธรรมชาติไปใช้ เครื่องบูชาตามธรรมเนียมจะใช้เกลือทะเล เนื่องจากเป็นที่เชื่อกันว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดจากพื้นฐานธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เครื่องบูชาอย่างอื่นได้แก่ยาสูบและข้าวโพด โดยเมื่อคุณได้หินที่ต้องการแล้วระบายเขียนตัวอักษรรูน แล้วเคลือบเงาเพื่อให้อยู่ทนทาน
ทำด้วยไม้ ให้ขออนุญาตต้นไม้หรือกิ่งไม้ด้วยการวางมือทั้งสองและอธิษฐานสั้นๆ จากนั้นโรยเกลือทะเลเป็นเครื่องบูชาก่อนจะตัดกิ่งออกมา ใช้เลื่อยตัดท่อนไม้เป็นชิ้นเล็กๆตามจำนวนอักษรรูนที่จะทำ ใช้เหล็กแหลมหรือเครื่องจี้ไฟ หรือใช้สีเขียนอักษรรูนในไม้แต่ละอันจากนั้นนำไปเคลือบรักษาเนื้อไม้


การชำระรูน
 มีวิธีที่จะทำได้หลายวิธีคือ วางอักษรรูนให้อาบแสงจันทร์ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นเวลาหนึ่งคืน หรือใช้ควันสมุนไพรอบ วิธีชำระที่ง่ายที่สุดคือใช้น้ำจากธรรมชาติมาชำระล้าง อย่าใช้น้ำประปา เมื่อคุณสรางรูนเสร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้ทำนายให้คนอื่นมามากแล้ว คุณจะต้องทำการชำระล้างเป็นประจำ นอกจากนั้นคุณต้องทำพิธีเพิ่มพลังให้มันเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ถ้าคุณเก็บอักษรรูนไว้นานคุณจำเป็นต้องเพิ่มพลังให้มันใหม่

การเพิ่มพลังให้รูน
1.วางรูนบนผ้ารองใช้เกลือทะเลโรยเพื่อเพิ่มพลังธาตุดิน
2.หยิบรูนแต่ละตัวผ่านควันธูปเพื่อเพิ่มพลังธาตุลม
3.หยิบรูนแต่ละตัวผ่านเปลวไฟจากเทียนเพื่อเพิ่มพลังธาตุไฟ
4.ใช้น้ำจากธรรมชาติประพรมบนรูนเพื่อเพิ่มพลังธาตุน้ำ


การเก็บรักษารูน
ให้ใส่อุปกรณ์ทำนายรูนไว้ในถุงผ้า และควรมีผ้าปูรองหนึ่งผืนเพื่อใช้วางรูนในการทำนาย

วิธีการทำนายรูน
อธิษฐานคำถามให้ชัดเจนแล้วหยิบรูนจากถุงผ้า หรือ วางรูนทั้งหมดคว่ำหน้าบนผ้าปูรองแล้วหยิบ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS